ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ นางสาวประภาภรณ์ สายเนตร.

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2561

นำเสนอคำคม

นางสาวพรชนก ไตรวงษ์ตุ้ม




นางสาวศิริพร ขมิ้นแก้ว




นางสาวธนภรณ์ บุญใสยัง




เนื้อหาการเรียนการสอน

เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร




ความหมายของบุคลิกภาพ
     ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
     1. บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
     2. บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส

ประเภทของบุคลิกภาพ
บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น  4 หมวด คือ
     1.  รูปร่างหน้าตา
     2.  การแต่งกาย
     3.  กิริยาท่าทาง
     4.  การพูด
บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
     1. ความเชื่อมั่นในตนเอง  
     2. ความกระตือรือร้น
     3. ความรอบรู้  
     4. ความคิดริเริ่ม
     5. ความจริงใจ  
     6. ไหวพริบปฏิภาณ
     7. ความรับผิดชอบ  
     8. ความจำ
     9. อารมณ์ขัน

การมองตัวเองในกระจกเงา


  • การมองเห็นตัวเอง
  • การยอมรับตัวเอง
  • การเข้าใจในตัวเอง
  • ความเชื่อถือตัวเอง
  • ความต้องการเปลี่ยนตัวเอง

รูปภาพให้แง่คิด


จากรูปคุณมองเห็นน้ำในแก้วเป็นอย่างไร
มีแค่ครึ่ง หรือ มีตั้งครึ่ง 





     ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือ
การพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำ
เสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%
     1.การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด  
     2.การแต่งกาย  
     3.ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง  
     4.การเดิน / การนั่ง  
     5.การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
     6.ความสะอาด
     7.สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้

สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย
     บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความ
ท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุล
ในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความ
ท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะ
ไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ 

ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
     1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อ
หน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์  
     2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มี
เจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย 
     3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะ
รู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่า
ของตนเองต่ำ

สาเหตุของความท้อถอย
     ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง 
ม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
     ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอย
มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
     ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับ
ความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนาน
และค่อนข้างรุนแรง 
     ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้
ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 

แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย
     1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
     2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
     3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า 
        งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน
     4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ 

ครูกับการพัฒนาตน
     1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การ
เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขตที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น 
และเหมาะสมกับค่านิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคน
นับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู
     2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
          2.1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
          - การพัฒนาในด้านความรู้
          - การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
          - การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
         2.2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง
                มีความสุข
         - การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
         - การสำรวจตนเอง
         - การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก
         - ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้

การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
     1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ 
ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น 
หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเอง
ในแง่มุมเหล่านี้
         1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
         1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
         1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
     2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับ
ตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น 
แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
     3. ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) 
ให้ดีขึ้น (good me)

หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
     การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง
 เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงามการรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา 
อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆ การไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้
แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้
เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทาง
ของตนเองได้เป็นอย่างดี

แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
การรักษาสุขภาพอนามัย
     -  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ      
     -  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์      
     -  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ   
     -  ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด   
     -  ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน    
     -  พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
     -  รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

การดูแลร่างกาย
     -  รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
     -  ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
     - โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
     -  รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
     -  รักษากลิ่นตัว  
     -  รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
     -  ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
     -  ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
     -  ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
     -  เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์ 

การแต่งกาย
     -  สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
     -  สีสันไม่ฉูดฉาดควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
     -  กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซม
        ให้เรียบร้อย
     -  แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี
     -  เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆ อย่าปล่อยให้สีถลอก
        จะไม่น่าดู
     -  ผม หมั่นสระให้สะอาด  อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผม
        ที่รับกับใบหน้า
     -  เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไป
        จนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

อารมณ์
     รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้
เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นได้  ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพ
ของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น

ความเชื่อมั่นในตนเอง
     -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
     -  อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
     -  อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
     -  อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
     -  หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
     ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
     1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
     2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญ
เขาก็จะให้เราทำ
     3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
     4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
     5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
     6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
     7.  มีความรอบรู้                     
     8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
     9.  มีความจำแม่น                  
    10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
     องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้าง
ของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท 
ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนา
ตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเองทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต 
แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่าง
ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว 
จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  
งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย

การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
  • การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
  • การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
  • การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 

     การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละ
ความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาส
และเป็นผู้ให้ในบางโอกาส  มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริม
หรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
     ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้
และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
     1. การฟัง
     2. การอ่าน
     3. การเขียน
     4. การสังเกต
     5. การคิด
     6. การทดลอง


ความรู้ที่ได้รับ / การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
     ได้ความรู้ในเรื่อง เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร สามารถนำเทคนิคนี้
เป็นแนวทางในการปรับตัวและแก้ปัญหาบุคลิกภาพที่ด้อยให้ดีขึ้นกว่าเดิม


การประเมิน
     ประเมินตนเอง    เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน
     ประเมินเพื่อน      เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน
     ประเมินอาจารย์   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย เตรียมเนื้อหาการสอนมาได้ดี 
                                 มีการยกตัวอย่างในการสอน


วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 9
วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

.......สอบกลางภาค......






วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 8
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

เนื้อหาการเรียนการสอน

นำเสนอคำคม





นำเสนองานวิจัย


งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่ความเป็นเลิศ
                        ระดับสากล  วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญา
                        ศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต  สาขาวิชาการบริหารการศึกษา 
                        มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
            ผู้วิจัย : อุดม  ชูลีวรรณ
  ปีการศึกษา : 2559 

บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
     ประเด็นที่ 1. ระบบการศึกษาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนของชาติให้มีคุณภาพตามที่สังคมปรารถนาโดยจะต้อง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม คุณลักษณะของบุคคลให้อดคล้องกับ ทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อเป็น พลังในการขับ เคลื่อนพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศได้
     ประเด็นที่ 2. การศึกษาทุกระบบมุ่งเน้นที่จะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
     ประเด็นที่ 3. เพื่อจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปการศึกษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ.2542 ทั้งปรับโครงสร้างการบริหาร การพัฒนายกระดับคุณภาพครู หลักสูตร การเรียนการสอน
     ประเด็นที่ 4. การกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ ของคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษา
     ประเด็นที่ 5. การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อพัฒนาสู่คุณภาพระดับสากล โดยเริ่มต้นจากโครงการ โรงเรียนมาตรฐานสากล
     ประเด็นที่ 6. การบริหารจัดการโรงเรียนด้วยระบบคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบที่จะพัฒนาองค์กรให้ มีผลดำเนินการที่เป็นเลิศ

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
     1.เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     2.เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมสู่ความเป็นเลิศระดับสากล

ความสำคัญและประโยชน์ของการวิจัย
     1.เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อนำผลการวิจัยไปจัดระบบการบริหารจัดการที่เอื้อต่อการปฎิรูปการเรียนรู้ และการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานระดับสากล
     2. เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารในระดับสูง เพื่อการนำผลการวิจัยไปพัฒนาเกณฑ์การประเมินคุณภาพ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
     3. เป็นแนวทางสำหรับผู้หน่วยงานท่งกาศึกษา หรือผู้เกี่ยวข้องเพื่อการนำผลการวิจัยไปสู่การกำหนด
รางวัลคุณภาพทางการศึกษา
     4. เป็นแนงทางการนำนโยบายการปฎิรูปการศึกษาในศตวรรษที่สอง ไปสู่การปฎิบัติเพื่อการพัฒนา
คุณภาพ มาตรฐานการศึกษา การเรียนรู้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการ
บริหารและจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานระดับสากล

ขอบเขตของการวิจัย
     1.ขอบเขตด้านเนื้อหา
     การวิจัยครั้งนี้ขอบเขตการวิจัยด้านเนื้อหาโดยศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาเชิง
ระบบ แนวคิดเกี่ยวกับคุณภาพ การจัดการคุณภาพองค์กร บริหารจัดการคุณภาพ การบริหารสู่ความเป็น
เลิศ  เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศไทย  และเกณฑ์รางวัลคุณภาพของต่างประเทศ
แนวทางการพัฒนาโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     2. ขอบเขตด้านพื้นที่
     ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนที่ดำเนินในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกาสังกัดสำนักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ประสบความสำเร็จ จำนวน 3 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตาม
เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ (TQA)มีระบบการพัฒนาระบบบริหารจัดการคุณภาพสู่ความเป็นเลิศระดับ
สากล

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรต้น   : รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพ
ตัวแปรตาม : ความเป็นเลิศระดับสากล

นิยามศัพท์เฉพาะ
     1. รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล หมายถึงกรอบแนวคิดที่เป็นแนวทางในการจัดองค์กรและบริหารองค์กรนั้นโดยมีการออกแบบระบบงานและ
แนวทางในการดำเนินงานที่คุณภาพ
     2. ระบบ หมายถึง ชุดขององค์ประกอบต่างๆ ที่ประกอบด้วยส่วนย่อย หรือระบบย่อยที่มีความสัมพันธ์กันตามโครงสร้างทางหน้าที่ในลักษณะหน่วยเดียวกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายโดยรวมที่
กำหนดไว้
     3. ระบบบริหาร หมายถึง ชุดขององค์ประกอบย่อยที่มีความสัมพันธ์กันตามหน้าที่การบริหาร ซึ่งละระบบประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การนำและการควบคุมตามลำดับ
     4. ระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล หมายถึงชุดของประเด็น
หลัก ประเด็นย่อยและแนวทางการปฏิบัติที่มีความสัมพันธ์กัน ตามหน้าที่หรือกระบวนการบริหาร เพื่อให้
โรงเรียนมีคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยม มีคุณภาพสูง เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและสามารถเป็นแบบอย่างให้กับ
ผู้อื่น
     5. องค์ประกอบหลักของระบบบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล หมายถึงองค์ประกอบที่ได้มาจากการสังเคราะห์ทฤษฎีเชิงระบบ เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติของประเทศต่างๆ การบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาตามโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลสังกัดสำนักงานคณะ
กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยปัจจัยนำเข้าและกระบวนการบริหารจัดการ ได้แก่
       1) ปัจจัยเกื้อหนุน 
       2) การนำองค์กร 
       3) การวางแผนพัฒนาคุณภาพ
       4) การมุ่งเน้นผู้เรียนผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง 
       5) การพัฒนาระบบสารสนเทศ
       6) การมุ่งเน้นบุคลากร
       7) การบริหารจัดการสู่ความเป็นเลิศ
       8) การสร้างภาคีเครือข่ายการพัฒนา

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
      ผู้วิจัยเลือกโรงเรียนที่ดำเนินการในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ประสบความสำเร็จมา3 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ดำเนินงานตาม
เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ มาพัฒนาขีดความสามารถด้านนการบริหารจัดการส่งผลให้มีวิธีปฏิบัติ
และผลงานที่เป็นเลิศ ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐานจัดอันดับเป็นโรงเรียนต้นแบบ จาก
โรงเรียนในโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลระดับมัธยมศึกษาทั่ว ประเทศจำนวน 318 โรงเรียน
กลุ่มตัวอย่าง
      ประกอบด้วยผู้อำนวยการโรงเรียน 1 คน รองผู้อำนวยการโรงเรียนละ 1 คน หัวหน้างานโรงเรียนละ 8
คน ครูผู้สอนโรงเรียนละ 5 คน นักเรียนโรงเรียนละ 5 คน และผู้ปกครองโรงเรียนละ 5 คน รวมผู้ให้ข้อมูล
โรงเรียนละ 25 คน รวมผู้ให้ข้อมูล 3 โรงเรียน ทั้งสิ้น 75 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
     1. แบบบันทึกการวิเคราะห์ประเด็นหลักและประเด็นย่อย จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารแนวคิดทฤษฎี
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่1
     2. แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างในการศึกษาภาคสนามในขั้นตอนที่2
         2.1 ฉบับที่ 1 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับผู้บริหาร
         2.2 ฉบับที่ 2 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับหัวหน้างาน
         2.3 ฉบับที่ 3 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับครู
         2.4 ฉบับที่ 4 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับนักเรียน
         2.5 ฉบับที่ 5 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างสำหรับผู้ปกครอง
     3. แบบบัน ทึกการสังเกตแบบมีส่วนร่วมในภาคสนาม
     4. แบบบันทึก (ร่าง) องค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล ซึ่งวิเคราะห์และสรุปได้จากประเด็นหลักและประเด็นย่อยจากการศึกษาเอกสารและการศึกษาภาคสนามในขั้นตอนที่ 3
     5. แบบบันทึก (ร่าง) ระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศ
     6. แบบบันทึกประเด็นการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
     7. แบบบันทึกประเด็นการสนทนากลุ่มผู้ปฏิบัติ
     8. แบบบันทึกสรุปผลการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล

การดำเนินการวิจัย
     ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสาร  วิเคราะห์หลักการ แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการ
คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศในระดับ สากล เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียน
มัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาภาคสนาม จากโรงเรียนกรณีศึกษา เพื่อศึกษาองค์ประกอบหลักองค์ประกอบย่อยวิธีปฏิบัติในแต่ละองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     ขั้นตอนที่ 3 ออกแบบระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     ขั้นตอนที่ 4 การตรวจสอบระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล
     ขั้นตอนที่ 5 การประเมินระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
     ความรู้ที่ได้จากวิจัยครั้งนี้คือ การบริหารสถานศึกษาในโรงต่างๆ จะเห็นได้ว่าการบริหารและการจัดการเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินงาน บรรลุเป้าหมายคือด้านผลลัพธ์แต่จะบริหารและจัดการอย่างไรจึงจะเกิดประสิทธิภาพนั้นผู้ริหารสำคัญที่สุดเพราะผู้บริหารเป็นผู้กำหนดทิศทางการทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพทั้งหลายล้วนเป็นผู้นำทางวิชาการ มีความคิดริเริ่ม มีวิสัยทัศน์ มีความรอบรู้ มีความสามารถในการจัดโครงสร้างและจัดบุคลากรให้เหมาะกับศักยภาพ ส่งเสริมให้มีการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม พัฒนาบุคลากร พัฒนา ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์รอบด้านทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สิ่งสำคัญอีก


งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน เครือข่าย 
                        ที่49 สำนักงานเขตคลองสามวาสังกัดกรุงเทพมหานคร
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยปทุมธานี

ผู้วิจัย : นางสาวจิรัญญา ขัดธิพงษ์

ปีการศึกษา 2558

บทนำ

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย          
     ประเด็นที่ 1 ศึกษาการบริหารวิชาการ          
     ประเด็นที่ 2 ศึกษาบริหารงบประมาณ          
     ประเด็นที่ 3 ศึกษาการบริหารงานบุคคลการบริหารทั่วไป          
     ประเด็นที่ 4 ศึกษาการบริหารทั่วไป

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
     1.เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครู ในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครในขอบข่ายภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารวิชาการการ บริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป
     2.เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครจำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการสอน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
     1. ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาในขอบข่ายภารกิจทั้ง 4 งาน
     2. ผู้บริหารสถานศึกษานำไปพิจารณาปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดียิ่งขึ้น
     3. เป็นข้อมูลหรือแนวทางสำหรับสำนักการศึกษากรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ขอบเขตของการศึกษาวิจัย
     1.ประชากร ได้แก่ ครูในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน 284 คน
     2. กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย  ได้แก่  ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่49  สำนักงานเขตคลองสามวา  สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน 165คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้น (Strata) จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ       
1. ตัวแปรอิสระ ได้แก่สถานภาพของครู            
    1.1 วุฒิการศึกษาได้แก่               
          1) ปริญญาตรี               
          2) สูงกว่า ปริญญาตรี            
     1.2 ประสบการณ์ในการสอน ได้แก่               
          1) น้อยกว่า 10 ปี               
          2) ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
ตัวแปรตาม ได้แก่ การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ในขอบข่ายภารกิจ 4 ด้าน  คือ             
     1. ด้านการบริหารวิชาการ             
     2. ด้านการบริหารงบประมาณ             
     3 .ด้านการบริหารงานบุคคล             
     4. ด้านการบริหารทั่วไป

นิยามศัพท์เฉพาะการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดนิยามการปฏิบัติการ ดังนี้            
     1.ทัศนะของครูที่มีต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร หมายถึงความเห็นของครูในโรงเรียนที่มีต่อการบริหารงาน ของผู้บริหาร            
     2.การบริหารสถานศึกษา หมายถึง การจัดวางระบบ และแนวปฏิบัติในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ตามขอบข่ายการบริหารสถานศึกษา โดยแบ่งการบริหารออกเป็น 4 งาน ได้แก่ การบริหารวิชาการการบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป

สมมติฐานการวิจัย
     1.ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกัน มีทัศนะต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน
     2.ครูที่มีประสบการณ์ในการสอนต่างกัน มีทัศนะต่อการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49  สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน

วิธีการดำเนินการวิจัย         
     ประชากร ได้แก่  ครูในโรงเรียนเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558  จำนวน 284 คน         
     กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย  ได้แก่ ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน 165 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น(Stratified Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นใช้ชั้น(Strata) จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
     ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970 : 608)และสุ่มแบบแบ่งชั้น(Stratified Random Sampling) โดยใช้โรงเรียนเป็นชั้น (Strata) จากนั้นใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)

การดำเนินการวิจัย
     การวิจัยเรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกดักรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกดักรุงเทพมหานครภายใต้ขบเขตเนื้อหาของการวิจัยใน 4 ด้าน ประกอบด้วย การบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคลและการบริหารทั่วไป และเพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียนเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครจำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ในการสอนโดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ครูโรงเรียนในเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2558 จำนวน284คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่โรงเรียนในเครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานครปีการศึกษา 2558 จำนวน165 คน

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
     จากการศึกษาวิจัยเรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน เครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ความรู้จากการศึกษาวิจัย ดังนี้ ได้เห็นแนวคิด ทฤษฎี หลักการต่างๆ ของการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป สำหรับการบริหารงานวิชาการมีการจัดตั้งและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้ครูและนักเรียนใช้ทั้งในและนอกโรงเรียน ทางด้านการบริหารงบประมาณ มีการดำเนินการจัดทำบัญชีการเงินถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ มีการจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินและบัญชีวัสดุ ควบคุมบำรุงรักษาพัสดุและมีการตรวจสอบพัสดุประจำปี และด้านการบริหารงานบุคคลมีการส่งเสริมและให้การสนับสนุนการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการส่งเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจโดยการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานดีและมีคุณงามความดีและ เสริมสร้างและพัฒนาวินัย คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 


วิทยาลัยราชภัฏเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้วิจัย : นางนริสานันท์  เดชสุระ
ปีการศึกษา : 2552

บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
     ประเด็นที่ 1  การจัดการศึกษาภาคบังคับเป็นการจัดการศึกษาที่เริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  ถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ไม่ได้คลอบคลุมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เป็นเพียงการศึกษาขั้นพื้นฐานแต่นักการศึกษาและนักจิตวิทยามีความคิดเห็นที่สอดคล้องกันว่าเด็กวัยแรกเกิดจนถึง 6 ปีเป็นวัยที่สำคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาศักยภาพทางสมอง การจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงมีความสำคัญต่อการส่งเสริมพัฒนาเด็กในทุกๆด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ -จิตใจ สังคมและสติปัญญา เป็นการส่งเสริมความพร้อมในการที่จะเรียนรู้ในระดับต่อไป ซึ่ง สถานศึกษาแต่ละแห่งมีรูปแบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันแต่มีจุดร่วมเดียวกันเพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กให้มีคุณภาพเพื่อส่งผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศด้วย
     ประเด็นที่ 2  การจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยนับว่ามีความสำคัญเป็นอันดับแรก เนื่องจากเป็นการวางรากฐานคุณภาพชีวิต การศึกษาให้แก่เยาวชนซึ่งโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยราชภัฏมีบทบาทในการดำเนินงานด้านการศึกษาปฐมวัย การดำเนินงานและการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กล่าวคือต้องมีการบริหารงานที่มีรูปแบบหรือลักษณะชัดเจนถูกต้องเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
     ประเด็นที่ 3  สาธิตปฐมวัยเป็นโรงเรียนที่จัดการศึกษาในระดับปฐมวัยคือการจัดการศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 2 ปีครึ่ง - 5 ปี 11 เดือน โดยมีปรัชญาในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยเต็มศักยภาพสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญา และเป็นไปโดยธรรมชาติภายใต้สิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ ภารกิจของการดำเนินงานโรงเรียนสาธิตปฐมวัย
  1.  พัฒนาเด็กปฐมวัยให้เต็มตามศักยภาพ ให้เป็นไปโดยธรรมชาติ
  2.  เป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้แก่นักศึกษาโปรแกรมวิชาการศึกษาปฐมวัย
  3.  เป็นแหล่งการบริหารวิชาการ ค้นคว้าวิจัยและพัฒนาข้อมูลวิชาการทางด้านการศึกษาปฐมวัย โรงเรียนสาธิตมีภารกิจที่รับผิดชอบเช่นเดียวกันกับโรงเรียนอื่นๆ ได้แก่ งานวิชาการ งานบุคลากร งานกิจการนักเรียน
ตัวแปรที่ศึกษา
  ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วยตัวแปรพื้นฐานและตัวแปรที่ศึกษาซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
     1. ตัวแปรพื้นฐาน  เป็นตัวแปลที่เกี่ยวกับสถานภาพส่วนตัวของผู้ให้ข้อมูลได้แก่ เพศอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งปัจจุบัน
     2. ตัวแปรที่ศึกษา  เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงเรียนจากการสรุปผลการวิเคราะห์แนวคิดทฤษฎีจำนวน 104 ตัวแปร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศจำนวน 62 ตัวแปร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยจำนวน 86 ตัวแปร และสรุปผลจากการสัมภาษณ์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 84 ตัวแปร สรุปตัวแปลทั้งหมดที่ได้หลังจากการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ได้จำนวน140 ตัวเเปร
วัตถุประสงค์ของการวิจัย  
     จากสภาพความเป็นมาและปัญหาของการวิจัยดังที่ได้กล่าวข้างต้นผู้วิจัยกำหนดจุดประสงค์ของการวิจัยและกัน
     1. เพื่อทราบองค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
     2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
     ผลของการวิจัยจะมีคุณค่าต่อการจัดการศึกษาระดับปฐมวัย และมีแนวทางการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยที่มีประสิทธิภาพมีระบบการบริหารและการดำเนินงานที่มีมาตรฐาน เป็นไปตามแนวทางภารกิจของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ และเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการต่อไป
นิยามศัพท์เฉพาะ
     โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมายถึง  หน่วยงานที่จัดการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา หรือระดับปฐมวัย จัดการศึกษาสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปี 8 เดือน ถึง  6 ปี จำนวน 24 แห่ง ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้มหาวิทยาลัยราชภัฏสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
     รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ  หมายถึง โครงสร้างความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการบริหารของโรงเรียนสาธิตปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการในการจัดโครงสร้างองค์กร การกำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงานตามภารกิจของโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ

สมมุติฐานการวิจัย
     เพื่อให้เป็นแนวชนิดใดและเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานในการวิจัยไว้ดังนี้ 
     1.  องค์ประกอบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎเป็นพหุองค์ประกอบ
     2.  รูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎมีความสอดคล้องกับกรอบแนวคิดทฤษฎีของการวิจัย

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
     ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ จำนวน 24 แห่ง
กลุ่มตัวอย่าง
     สำหรับกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มตัวอย่างโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ โดยใช้วิธีการเปิดตาราง เครจซีและมอร์แกน ( krejcie and morgan ได้โรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เป็นตัวอย่างจำนวน 22 โรงเรียน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการศึกษาวิจียครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือในแต่ละขั้นตอน รวมทั้งหมด 3 ประเภทคือ
     1. แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ( semi-structured interview)
     2. แบบสอบถามความคิดเห็น ( opinionnaire )
     3. แบบตรวจสอบรายการ ( check list from )

การดำเนินการวิจัย
ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยโดยแบ่งออกเป็น3ขั้นตอนดังต่อไปนี้
     ขั้นตอนที่1 จัดเตรียมโครงการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดเตรียมโครงการตามระเบียบวิธีการดำเนินการวิจัยโดยศึกษาเรื่องการบริหารโรงเรียนจากเอกสาร ตำรา ข้อมูล สถิติ การวิจัยของบุคคลและหน่วยงานต่างๆรวมถึงวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ เพื่อจัดทำโครงการวิจัยโดยขอคำแนะนำความเห็นในการจัดทำโครงร่างการวิจัยจาก อาจารย์ที่ปรึกษาและนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอขออนุมัติหัวข้อดุษฎีนิพนธ์
     ขั้นตอนที่ 2 การดำเนินการวิจัยเป็นขั้นตอนการศึกษาวิเคราะห์กำหนดกรอบแนวคิด เพื่อสร้างและพัฒนาเครื่องมือนำไปทดลองใช้ปรับปรุงคุณภาพ และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฎ วิเคราะห์หาข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อมานำเครื่องมือที่สร้างและพัฒนาแล้วไปเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างและนำข้อมูลที่ได้มาทดสอบความถูกต้องของข้อมูลและแปรผล การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างรูปแบบและการตรวจสอบความเหมาะสมพร้อมทั้งเสนอรูปแบบซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 
     ขั้นตอนที่ 3 การรายงานผลการวิจัยเป็นขั้นตอนการจัดทำร่างรายงานผลการวิจัยเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์ตรวจสอบความถูกต้องปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องตามที่คณะกรรมการผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์เสนอแนะ จัดพิมพ์และส่งรายงานผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์ต่อบัณฑิต วิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปกรเ พื่อขออนุมัติจบการศึกษา


สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
          การบริหารและหลักการบริหารการจัดการมีความสำคัญในการวางระบบการบริหารโรงเรียน โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นรูปแบบ และแนวคิดในการบริหารที่จะต้องกระจายอำนาจการบริหารทำให้สถานศึกษามีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารมีความคล่องตัวและมีอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจ การสร้างประสิทธิภาพของโรงเรียนควรเน้นการบริหารการจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่างชัดเจน และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้


งานวิจัยเรื่อง  การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง   
                         สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1

การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารการศึกษา  
                            คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 

               ผู้วิจัย  ยุกตนันท์   หวานฉ่ำ

     ปีการศึกษา  2555

บทนำ
     ในสภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสังคมประเทศไทยเป็นยุคที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและเป็นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน 
     การบริหารสถานศึกษาเป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบเพราะถ้าระบบการบริหารงานไม่ดีจะกระทบกระเทือนต่อส่วนอื่นๆของหน่วยงานนักบริหารที่ดีต้องรู้จักเลือกวิธีการบริหารที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้การบริหารงานนั้นจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการเพราะว่าการดำเนินงานต่างๆมิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำเพียงลำพังคนเดียวแต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่มีส่วนทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ
    การบริหารสถานศึกษาทั้ง4ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ โดยผู้บริหารสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียนมีหน้าที่และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการงานงบประมาณงานบุคคลและงานทั่วไปโดยเป็นไปตามความต้องการของนกัเรียนและชุมชนซึ่งการที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะสร้างความพึงพอใจให้แก่ทุกคนในสถานศึกษานั้นมิใช่ของง่ายเพราะไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากจากบุคคลภายในสถานศึกษาเท่านั้นแต่ยังต้องเผชิญกับบุคคลภายนอกสถานศึกษาด้วย
    ปัจจุบันสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต1ได้ดำเนินการเร่งรัดปฏิรูปการศึกษาโดยการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงกำหนดทิศทางขับเคลื่อนการจดัการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและจัดระบบนิเทศกำกับติดตามดูแลภารกิจหลักของโรงเรียน4ด้านคือ ด้านการบริหารงานวิชาการ ด้านบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการ บริหารทั่วไป  ด้วยการยกระดับให้มีมาตรฐานโดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
    จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนของ โรงเรียน ในอำ เภอคลองหลวงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต1 จึงมีความสนใจที่จะศึกษาการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 ซึ่งผลการวิจัยจะน าไปใช้เพื่อเป็น ประโยชน์และเป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารโรงเรียนให้บริหารงานด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลมากที่สุดสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริหารและครูผู้สอนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายและประสบความสำเร็จในการบริหารสถานศึกษาต่อไป

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1.  เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง  สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1  
  2. เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของโรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงาน  เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1    
  3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของ โรงเรียน  ในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1
ประโยชน์ที่ได้รับ
  1. เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา ในการนำ ไปใช้ใน การวางแผนการจัดทำหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของสถานศึกษา ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1   
  2. เป็นแนวทางให้สถานศึกษา ประชาชน ชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ปทุมธานี เขต 1 ไดน้า รูปแบบไปพิจารณาปรับปรุง บทบาท หน้าที่ ในการบริหารสถานศึกษา ให้มีความชัดเจนและมีความเหมาะสม
ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา
      ขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษา 4 ด้าน ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบบัที่ 3) พ.ศ. 2553  คือ 

     1) ด้านการบริหารวิชาการ  
     2) ด้านการบริหารงบประมาณ 
     3) ด้านนการบริหารงานบุคคล และ
     4) ด้านการบริหารทั่วไป (สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ  สำนักนายกรัฐมนตรี, 2553: 14)  ประสิทธิผลของโรงเรียน ได้ศึกษาตามกรอบแนวคิดของ ฮอยและเฟอร์กูสัน แบ่งเป็น 5องค์ประกอบ คือ
       1) ความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของ นักเรียน
       2) ความพึงพอใจในการทำ งานของครู 
       3) ความสามารถในการใช้สื่อ นวัตกรรมและ เทคโนโลยขีองครู 
       4) ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
       5) ความสามารถ ในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายในและภายนอก
ขอบเขตด้านประชากร
       ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ในปีการศึกษา 2554 จา นวน 34 โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1)
       กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำรวจของ  เครจซี่และมอร์ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย 
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
1)  การบริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย  4  ด้าน คือ      
  ก)  ด้านการบริหารวิชาการ     
  ข)  ด้านการบริหารงบประมาณ   
  ค)  ด้านการบริหารงานบุคคล    
  ง)  ด้านการบริหารทั่วไป
2)  ประสิทธิผลของโรงเรียน  มี  5  องค์ประกอบ  คือ               
  ก)  ความใฝ่รู้ รักการอ่าน แสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน                 
  ข)  ความพึงพอใจในการทา งานของครู             
  ค)  ความสามารถในการใช้สื่อ นวตักรรมและเทคโนโลยีของครู           
  ง)  ความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ           
  จ)  ความสามารถในการปรับเปลี่ยนต่อสภาวะแวดล้อมที่มากระทบทั้งภายใน และภายนอก  

นิยามศัพท์เฉพาะ
1)การบริหารสถานศึกษาหมายถึงกระบวนการในการทำงานโดยมีผู้บริหารสถานศึกษาปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นระบบในสถานศึกษาที่ต้องดำเนินการ 
4 ด้าน คือ ด้านการบริหารงานวิชาการ  ด้านการบริหารงบประมาณ  ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป
  1.1)  การบริหารวิชาการ  หมายถึง  ภารกิจงานเกี่ยวกับการจัดหลักสูตรสถานศึกษาให้สนองต่อความต้องการของผู้เรียนและท้องถิ่น โดยการมีส่วนร่วมในการวางแผน  ให้คำปรึกษา  มีการส่งเสริมสนับสนุน  และเสนอแนวทางให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  
  1.2)  การบริหารงบประมาณ  หมายถึง  ภารกิจงานเกี่ยวกับการศึกษา  วิเคราะห์การจัดและการพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา  มีการวางแผนกลยุทธ์  การจัดทำข้อมูลทรัพยากร จัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์  และจัดตั้งกองทุนเพื่อการศึกษา 
  1.3) การบริหารงานบุคคล  หมายถึง  ภารกิจงานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ วางแผนและเสนอแนะ  การแต่งตั้งบุคลากรในสถานศึกษา  ให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถ  ตามมาตรฐานวิชาชีพ  มีเกณฑ์การประเมินผลงาน 
  1.4)   การบริหารงานทั่วไป  หมายถึง  ภารกิจงานเกี่ยวกับการวางแผน  และออกแบบระบบงานธุรการ  จัดระบบฐานข้อมูล  และระบบข้อมูลข่าวสารของสถานศึกษา 
2) ประสิทธิผลของโรงเรียน หมายถึง ความสามารถของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนที่ ทำงานร่วมกันจนสามารถทำให้นักเรียนมีความใฝ่รู้ รักการอ่าน  รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งด้านการบริหารและการเรียนการสอนจนบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่โรงเรียนกำหนดไว้

สมมติฐานการวิจัย
1)   การบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก 
2)   ประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก 
3)   การบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 

วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
  ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่  ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา ในอำเภอคลองหลวง  สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2554  จำ นวน 34 โรงเรียน จำนวนครูผู้สอน 494 คน 
กลุ่มตัวอย่าง
  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จของเครจซี่และ มอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย
  ตอนที่  1  เป็นแบบสำรวจรายการ (Checklist) สอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม  ประกอบด้วย  เพศ   อายุ ระดับการศึกษา  และประสบการณ์ในการทำงาน
  ตอนที่  2  เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา  เป็นแบบสอบถามแบบ มาตรวัดประเมินค่า (Rating  Scale) 5 ระดับตามแบบลิเคอร์ท 
  ตอนที่  3  เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1 เป็นแบบสอบถามแบบมาตรวัดประเมิน 

การดำเนินการวิจัย
     1)  ประสานงานกับสำนักงานบัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี  เพื่อทำหนังสือขอความอนุเคราะห์เก็บข้อมูลการวิจัยถึงผู้อำนวยการ  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา             
     2)  จัดส่งแบบสอบถามพร้อมทั้งหนังสือขอความอนุเคราะห์ ไปยังสถานศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตอำเภอคลองหลวง เพื่อขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูล  และกำหนดวัน เวลา ขอรับแบบสอบถามคืน ภายใน 15 วัน   
     3)  เก็บรวบรวมและติดตามแบบสอบถามที่ยังไม่ได้รับคืน และแจกแบบสอบถามด้วยตนเองอีกครั้งในรายที่แบบสอบถามสูญหายหรือไม่สมบูรณ์ โดยขยายเวลาอีก 5 วัน     
     4) นำ แบบสอบถามที่ได้รับคืนมาตรวจสอบความสมบูรณ์


สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
      ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดของการบริหารโรงเรียน เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนด คือ การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น  ปัจจัยสำคัญต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้ใน โรงเรียน คือ ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมวามร่วมมือในการปฏิบัติงาน ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้  และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด

     ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้นำหลัก  ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือ เป็นผู้นำทางการศึกษา  มีความรับผิดชอบในการบริหารงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนดไว้


งานวิจัยเรื่อง : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 
                          สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1

การศึกษาระดับ ครุศาสตรมหาบัณฑิต  มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี

                 ผู้วิจัย : ศศิตา  เพลินจิต

       ปีการศึกษา 2558

บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
     ประเด็นที่1 : ปัญหาสำหรับผู้บริหารที่ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับยุค ของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
     ประเด็นที่2 : ผู้บริหารขาดทักษะที่จาเป็นสาหรับการบริหารในองค์กรและ หน่วยงานที่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้บริหารสถานศึกษา
     ประเด็นที่3 : ผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ จะต้องมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21เพื่อหน่วยงานให้มีมาตรฐานสูงขึ้น
     ประเด็นที่4 : การพัฒนาทักษะของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะของผู้บริหาร

     ประเด็นที่5 : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา


วัตถุประสงค์ของการวิจัย
     1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
     2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม   เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
     1.ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารสถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 สามารถนำผลการวิจัยไปใช้เพื่อวางแผนการพัฒนา ผู้บริหารสถานศึกษา
     2. ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ทราบถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถ นำมาใช้กำหนดนโยบาย แนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
     3. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฐมศึกษานครปฐม เขต 1-2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 9 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครปฐมนาทักษะการบริหารของผู้บริหาร สถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาต่อไป

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
  • ตัวแปรต้น คือ ขนาดของสถานศึกษา ประกอบด้วย
         1 สถานศึกษาขนาดเล็ก
         2 สถานศึกษาขนาดกลาง
         3 สถานศึกษาขนาดใหญ่
  • ตัวแปรตาม
    ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วย
     1 ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
     2 การริเริ่มสร้างสรรค์และการเป็นตัวของตัวเอง
     3 ทักษะด้านสังคมและทักษะข้ามวัฒนธรรม
     4 การเป็นผู้สร้างหรือผลิตและรับผิดชอบเชื่อถือได้ 

นิยามศัพท์เฉพาะ
ผู้บริหารสถานศึกษา     
    ผู้ที่มีความสำคัญในการดำเนินงานทำหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแล บริหารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ร่วมงานเพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจของสถานศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการบริหาร      
     ความรู้ความชำนาญความสามารถในการดำเนินกิจกรรม บริหารเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องรวดเร็ว 
ทักษะการบริหารของผู้บริหาร       
      ทักษะที่ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นต้องมี การบริหารที่ใช้ศาสตร์และศิลปะทุกประการ หน้าที่ของผู้บริหารที่จะนำเอาเทคนิควิธี และกระบวนการบริหารที่ เหมาะสม มาใช้เกิดประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายของสถานศึกษา

สมมติฐานในการวิจัย       
      ทักษะการบริหารในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ที่มีขนาดสถานศึกษาต่างกันมีความแตกต่างกัน

วิธีการดำเนินการวิจัย
ประชากร
     1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557 จากสถานศึกษาทั้งหมด 125 แห่ง จำแนก เป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก 52 แห่ง จำนวนประชากร 294 คน สถานศึกษาขนาดกลาง 65 แห่ง จำนวนประชากร907 คน    และสถานศึกษาขนาดใหญ่ 8แห่ง จำนวนประชากร439 คนรวม ประชากรทั้งหมด 1,640 คน
กลุ่มตัวอย่าง
     2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2557 ซึ่งการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน (Krejc & Morgan, 1970, pp. 607-610) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 โดยการสุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่ายแบบเป็นสัดส่วน ตามขนาดของสถานศึกษา ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 2 ตอน คือ
     ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
     ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามทักษะผู้บริหารของสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) ของลิเคอร์ท (Likert) เกี่ยวกับทักษะของผู้บริหาร

การเก็บรวบรวมข้อมูล
      ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดย3.1 นำหนังสือขอความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีถึงผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูล3.2 ผู้วิจัยส่งแบบสอบถามไปยังโรงเรียน เพื่อแจกให้กับครูในโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 311 ชุด โดยกำหนดเวลาในการตอบแบบสอบถามและกลับคืนให้ผู้วิจัยภายใน 7-15 วัน ทางไปรษณีย์และผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเอ

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
     - ได้รับความรู้เรื่องทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 และได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาในศตวรรษที่21เพิ่มมากขึ้น
     - ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ศึกษา  ค้นคว้า  และแก้ปัญหาจากการทำงานเพื่อแสดงศักยภาพที่มีอยู่ให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำวิจัย
     - ได้ฝึกทักษะกระบวนการทำงาน การแก้ไขปัญหา มีความรับผิดชอบและได้ฝึกการวางแผนการทำงานเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปปรับใช้ในการศึกษาต่อไป


งานวิจัย เรื่อง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร สถานศึกษา 
                        สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
การศึกษาระดับปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

                ผู้วิจัย  : นัยนา เจริญผล

       ปีการศึกษา : 2552

บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
     ประเด็นที่ 1 เป็นแนวทางสำคัญในการจัดระเบียบให้สังคมทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งครอบคลุมไปถึงฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายราชการ และฝ่ายธุรกิจ
     ประเด็นที่ 2 ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนและเป็นส่วนเสริมความเข้มแข็งหรือสร้างภูมิคุ้มกัน
     ประเด็นที่ 3 การพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพต้องอาศัยการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้รับการสนับสนุนส่งเสริมด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
     1. เพื่อศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
     2. เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น จำแนกตาม ประเภทการจัดการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
     1. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผน ปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่นให้มีประสิทธิภาพ
     2. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริม สนับสนุนปัจจัยในการบริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ให้สอดคล้องกับปัญหาและเหมาะสมกับสภาพความจำเป็น
     3. เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล การดำเนินการบริหารงาน โดยใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น

ขอบเขตของการวิจัย
ขอบเขตด้านเนื้อหา          
      การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542ทั้ง 6 หลัก หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า
ขอบเขตด้านประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร      
    ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 466คน
2. กลุ่มตัวอย่าง 
    กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น ผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น และครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น จำนวน 249 คน

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
1. ประเภทการจัดการศึกษา แบ่งเป็น    
    (1) กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค, อาชีวศึกษา    
    (2) กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ,สารพัดช่าง, เกษตร และเทคโนโลยี
2. ขนาดของสถานศึกษาจำแนกเป็น 2 ขนาดคือ    
    (1) ขนาดกลาง    
    (2) ขนาดใหญ่ 
ตัวแปรตาม  ได้แก่ ระดับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการ การอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ้มค่า

สมมติฐานของการวิจัย
     1. ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ที่ปฏิบัติงานในสถาบันอาชีวศึกษาที่มีประเภทการจัดการศึกษาต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน
     2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงาน ในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกันจะมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาล ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นต่างกัน

นิยามศัพท์เฉพาะ
     1. การบริหาร หมายถึง การใช้ศาสตร์และศิลป์ ในการใช้ทรัพยากร คน เงิน วัสดุ การจัดการมาดำเนินการในรูปลักษณ์ของกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล ซึ่งการบริหารในที่นี้หมายถึงการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น
     2. หลักธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาของประเทศ โดยมีการเชื่อมโยงองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของสังคม คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนสังคม ให้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจ สังคม การเมือง อย่างสมดุล ส่งผลให้สังคมดำรงอยู่กันอย่างสันติ ตลอดจนมีการใช้อำนาจในการพัฒนาประเทศชาติให้เป็นไปอย่างมันคง ยังยืน และมีเสถียรภาพ
     3. การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษา หมายถึง ระดับการดำเนินการบริหารและการจัดการศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น ตามอำนาจหน้าที่เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของผู้เรียน โดยยึดหลักใน 6 หลัก
     4. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง บุคลากรที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 
จังหวัดขอนแก่น
     5. สำนักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น หมายถึง หน่วยงานทางการศึกษาที่สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
     6. ประเภทการจัดการศึกษา หมายถึง การแบ่งสถานศึกษาออกตามประเภทของการจัดการเรียนการสอน โดยแบ่งเป็น     
        1. กลุ่มวิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา     
        2. กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร     ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร และครูผู้สอนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่นโดยจำแนกดังนี้ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 48 คนครูผู้สอน  จำนวน 418 คนรวม จำนวน 466คน
กลุ่มตัวอย่าง     กลุ่มตัวอย่างของผู้บริหารการศึกษาจากจำนวนประชากรเลือกมาทั้งหมด จำนวน 48 คนและครูผู้สอน 
     ผู้วิจัยได้กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นโดยใช้ประเภทและขนาดของสถานศึกษาเป็นชั้นในการสุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน249 คน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
     เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire)ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน1 ชุด แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1  เป็นแบบสอบถาม เกี่ยวกับสถานภาพ ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check list) ประกอบด้วย เพศ ตำแหน่งปัจจุบัน วุฒิการศึกษาสูงสุด ประสบการณ์ในการทำงาน ขนาดของสถานศึกษาที่สังกัด ประเภทของสถานศึกษา
ตอนที่ 2  เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า(Rating scale) 5 ระดับ คือ ระดับมากที่สุด ระดับมาก ระดับปานกลาง ระดับน้อย และระดับน้อยที่สุด      
  • ระดับ  5  หมายถึง   ระดับมากที่สุด      
  • ระดับ  4  หมายถึง   ระดับมาก      
  • ระดับ  3  หมายถึง   ระดับปานกลาง      
  • ระดับ  2  หมายถึง   ระดับน้อย      
  • ระดับ  1  หมายถึง   ระดับน้อยที่สุด
การดำเนินการวิจัย     
      เก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลมีขั้นตอนการดำเนินงานโดยขอหนังสืออนุญาตเก็บข้อมูลจากสำนักงานบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเลยถึงสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลขอหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น เพื่อขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาในสังกัด เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้บริหาร ครูปฏิบัติการสอนและบุคลากรทางการศึกษาผู้วิจัยส่งแบบสอบถามให้กับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามพร้อมตรวจสอบความถูกต้องจากกลุ่มตัวอย่างด้วยตนเองจำนวน249ฉบับได้รับคืน249ฉบับคิดเป็นร้อยละ100

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย      
       จากผลการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาพบว่า สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ต้องการผู้บริหารที่มีคุณภาพ การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นควรมีหลักในการยึดถือปฏิบัติ ได้แก่ หลักด้านนิติธรรม ด้านคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักแห่งความคุ้มค่า ซึ่งคุณธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้บริหาร วิธีเทคนิคการบริหารวิธีนี้จะช่วยให้การบริหารเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด องค์กรมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมาด้วย


ความรู้ที่ได้รับ / การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
     นำความรู้ที่ได้รับไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเองอย่างมีคุณภาพ และพัฒนา
ตัวเองให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ในอนาคต


การประเมิน 
     ประเมินตนเอง    เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน
     ประเมินเพื่อน      เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน
     ประเมินอาจารย์   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ใช้คำถามและให้ข้อมูลเพิ่มเติม