ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของ นางสาวประภาภรณ์ สายเนตร.

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2 
วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561



เนื้อหาการเรียนการสอน
     
การบริหารจัดการสถานศึกษาระดับปฐมวัย


ความหมายและความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
ความหมายของการบริหารการศึกษา ( Education Administration )
     การบริหารการศึกษา แยกออกเป็น 2 คำ คือ การบริหาร และ การศึกษา ความหมายของ การบริหารมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งคล้ายๆกันและแตกต่างกัน คือ
  • การบริหาร คือ ศิลปะของการทำงานให้สำเร็จโดยใช้บุคคลอื่น
  • การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่ร่วมกันปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน
  • การบริหาร คือ การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงาน เพื่อจุดประสงค์อย่างเดียวกัน
     ** จากความหมายของ การบริหาร พอสรุปได้ว่า การดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่วางไว้”
     ส่วนความหมายของ การศึกษามีผู้ให้ความหมายไว้คล้ายๆกัน ดังนี้
  • การศึกษา คือ ความเจริญงอกงาม ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
  • การศึกษา คือ การสร้างเสริมประสบการณ์ให้ชีวิต
  • การศึกษา คือ เครื่องมือที่ทำให้เกิดความเจริญงอกงามทุกทางในตัวบุคคล
     ** จากความหมายของ การศึกษาข้างบนนี้พอสรุปได้ว่า การพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี

     เมื่อนำความหมายของ การบริหารมารวมกับความหมายของ การศึกษาก็จะได้ความหมายของ  การบริหารการศึกษา    ว่า “การดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพ ทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี

ความหมายของการบริหารสถานศึกษา
     วีรชัย  วรรณศรี (2545) การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคล เพื่อให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกในสังคมให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
     วิโรจน์  สารัตนะ (2546) กล่าวว่า การการบริหารเป็นกระบวนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดหมายขององค์กร โดยอาศัยหน้าที่ทางการบริหารที่สำคัญประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัดองค์กร (Organizing) การนำ (Leading) และการควบคุม(Controlling)
     เฉลิมชัย  สมท่า (2547)  กล่าวว่าการบริหารโรงเรียนเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ความสำคัญของศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย
     สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าหรือผู้นำดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กร โดยใช้กระบวนการบริหารกลุ่มบุคคล กระบวนการต่างๆ ในการดำเนินงานของกลุ่มบุคคลให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ เป็นผู้นำทางความคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การสร้างแรงจูงใจและจัดสรรการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เป็นกลุ่มงานที่สัมพันธ์กันอย่างดี มีกลังคนที่มีความสามารถพร้อมสร้างบุคลากรให้ทำงานได้อย่างถูกต้องเพื่อให้บุคลากรร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพของงานภายในสถานศึกษาและให้บริการทางการศึกษาแก่สมาชิกของสังคม 
ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา
     จันทรานี  สงวนนาม (2545) กล่าวว่า เพื่อความอยู่รอดขององค์กร การเรียนรู้เพื่อบริหารองค์กร จะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายของงานบุคลากรตลอดจนการดำเนินงานได้อย่าง
เหมาะสม
     นงลักษณ์  วิรัชชัย (2545) กล่าวว่า การปฏิรูปสถานศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้บริหารผู้บริหารมีคุณลักษณะต่อไปนี้ คือ มีความสามารถทางการบริหารตลอดจนการดำเนินงานได้อย่าง
เหมาะสม
     Mckinson (2550) กล่าวว่า มนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการบริหาร ถึงแม้ว่าคุณค่าของมนุษย์จะเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้และไม่สามารถใช้หลักเกณฑ์กำหนดคุณค่าเช่นเดียวกับวัตถุหรือสินค้าอื่นใด แต่ก็ยังถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีค่าและมีเกียรติสูงสุด
     สรุปได้ว่า การบริหารสถานศึกษาหรือการบริหารองค์กร  สิ่งที่ต้องตระหนักหรือให้ความสำคัญ คือการบริหารงานบุคคล เพราะบุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าในองค์กร ที่สามารถพัฒนาศักยภาพได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์กรมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์กรที่ปฏิบัติงาน เสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ นั้นหมายถึงผู้บริหารจะต้องมีความรู้เรื่องการบริหารเป็นอย่างดี

หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา
   หลักการบริหารงานบุคคล
     สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545)  ให้แนวคิดในการบริหารและการจัดการที่ดี เพื่อมาปรับใช้ในบริบทขององค์กรทางการศึกษา ในประเด็กดังนี้
     1. การกำหนดจุดหมาย ผลที่คาดหวัง หรือภาพความสำเร็จของการบริหารและการจัดการที่ดี 
(Goal / Expected / Output)
     2. กระบวนการบริหารและการจัดการที่ดี (Process)
     3. ทรัพยากรในการบริหารจัดการที่ดี (Input / Resource)
     4. ระบบควบคุม (Feedback / Control System)
     5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหารและการจัดการที่
  ขอบข่ายของการบริหาร
     กระทรวงศึกษาธิการ (2546) ได้กำหนดขอบข่ายภาระงานในการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 
5 งาน ได้แก่
     1. การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง
     2. การสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง
     3. การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ
     4. วินัยและการรักษาวินัย
     5. การออกจากราชการ
   ขอบข่ายของการบริหาร
     สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานบุคคลไว้ประกอบด้วย 6 งาน ได้แก่
     1. การวางแผนกำลังคน
     2. การสรรหา
     3. การบรรจุแต่งตั้ง
     4. การพัฒนา
     5. การธำรงรักษา
     6. การให้พ้นจากงาน
     
     สรุปได้ว่าขอบข่ายของการปฏิบัติงานของสถานศึกษาในการบริหารงานบุคคลนั้นมีภาระงานที่สำคัญๆ ที่สถานศึกษาควรปฏิบัติ ประกอบด้วย
     1. การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง โดยมีการวิเคราะห์ภารกิจและประเมินสภาพความต้องการกำลังคน กับภารกิจของสถานศึกษามีการจัดทำภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และแจ้งภาระงาน มาตรฐานคุณภาพงาน มาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ เกณฑ์ประเมินผลงานแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาก่อนมีการมอบหมายหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน
     2. การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง โดยมีการดำเนินการสอบแข่งขัน สอบคัดเลือกและคัดเลือกในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษในตำแหน่งครูผู้ช่วยครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นในสถานศึกษา
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  (Science and arts)
  • เป็น ศาสตร์ เพราะ มีหลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฏีที่เชื่อถือได้ เกิดจากการศึกษาค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์
  • เป็น ศิลป์ เพราะต้องทำงานกับคน ต้องเลือกใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องฝึกให้ชำนาญ จึงต้องประยุกต์ใช้อย่างมีศิลป์


ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานศึกษา

ความหมายของทฤษฏี
  • กลุ่มของข้อเสนอ หรือ ของมโนทัศน์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
  • เป็นข้อสรุปอย่างกว้างๆ ทั่วไปที่พรรณนาและอธิบายถึงพฤติกรรมละปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบ

ความจำเป็นในการศึกษาทฤษฏี
  • ทฤษฏีเป็นพื้นฐานของการกำหนดสมมติฐานเพื่อทดสอบปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ ในเมื่อทฤษฏีอยู่บนพื้นฐานของตรรกวิทยา มีเหตุผลแม่นยำ ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติก็จะมีเหตุผลและถูกต้องเช่นเดียวกัน
  • ทฤษฏีเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัย โดยกำหนดทิศทางของการวิจัย

พัฒนาการของทฤษฏีทางการบริหาร



ทัศนะดั้งเดิม (Classical viewpoint)
  • การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์
  •  การจัดการเชิงบริหาร
  • การบริหารแบบราชการ

1. การบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management)
     Frederick. W. Taylor (เทเลอร์) บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร์ ได้เสนอ หลัก 4 ประการ
       1. ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ มีการแยกวิเคราะห์งาน
       2. มีการวางแผนการทำงาน
       3. คัดเลือกคนทำงาน
       4. ใช้หลักการแบ่งงานกันทำระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
2. ทฤษฏีการจัดการเชิงบริหาร (Administration management)
  •  Henry Fayol : หลักการบริหาร 14 หลักการ และขั้นตอนการบริการ POCCC
  •  Chester Barnard : ทฤษฏีการยอมรับอำนาจหน้าที่
  •   Luther Gulick : ใช้หลักการของ Fayol  โดยใช้คำย่อว่า POSDCoRB ซึ่งเป็นหน้าที่ ประการ

3. ทฤษฏีการบริหารแบบราชการ (Bureaucratic management)
  •  Max Weber พัฒนาหลักการจัดการแบบราชการ


           1. มีกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อควบคุมการตัดสินใจ
           2. ความไม่เป็นส่วนตัว
           3. แบ่งงานกันทำตามความถนัด ความชำนาญเฉพาะทาง
           4. มีโครงสร้างการบังคับบัญชา
           5. ความเป็นอาชีพที่มั่นคง
           6. มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจ โดยมีกฎระเบียบรองรับ
           7. ความเป็นเหตุเป็นผล
    
ข้อเสียของระบบราชการ
  • ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัดเกินไป ไม่ยืดหยุ่นทำให้งานล่าช้า ไม่เกิดความคิดสร้างสรรค์
  • การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้ตัดสินใจล่าช้า ไม่ทันเหตุการณ์และเทคโนโลยี
  • การมีสายการบังคับบัญชา ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่น ประจบประแจง
  • การแบ่งงานตามความถนัดเป็นกลุ่ม ทำให้เกิดการสร้างอาณาจักร

     ทั้ง 3 ทฤษฏี มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร
     ความเหมือน
     1. ด้านโครงสร้าง เน้นการแบ่งงานกันทำ การมีสายการบังคับบัญชา กำหนดหน้าที่ของการบริหาร เน้นหลักการ
     2. ด้านผู้ปฏิบัติ เหมือนเครื่องจักร เน้นสิ่งจูงใจด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงในงาน ความต้องปรับตัวเข้ากับงาน
     3. ด้านผู้นำ ให้ความสำคัญกับบทบาทผู้นำ เอกภาพ ระบบคุณธรรม เป้าหมายองค์กรสำคัญกว่าบุคคล
     4. ด้านการตัดสินใจ เน้นความเป็นเหตุผล ประสิทธิภาพ กำไร
     ความต่าง
     Taylor : กำหนดวิธีการทำงานที่ดีที่สุด The one best way
     Fayol   : เน้นหลักการ 14 หลักการ
     Weber  : เน้นระเบียบข้อบังคับ มีเกณฑ์ประเมินผล
ทัศนะเชิงพฤติกรรม (Behavioral viewpoint)
  • ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก
  • การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น
  • ความเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์
  • หลักพฤติกรรมศาสตร์
1. ทฤษฏีพฤติกรรมระยะเริ่มแรก (Early behavioral theories)
  • Hugo Munsterberg บิดาแห่งจิตวิทยาอุตสาหกรรม  ใช้หลักจิตวิทยาในการจำแนกคนงานให้เหมาะสมกับงาน
  • Mary Parker Follett นักปรัชญาแห่งเสรีภาพของบุคคล เน้นสภาพแวดล้อมในการทำงานและการมีส่วนร่วม

2. การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorne studies)
  • การทดลองของบริษัท เวสเทิร์น อิเล็กทริก ที่เมืองฮอว์ธร์น เพื่อศึกษาเกี่ยวกับผลของแสงไฟต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
  • ในช่วงท้ายของการทดลอง Elton Mayo ร่วมทำการทดลอง สรุปข้อค้นพบว่
          - เงินไม่ใช้สิ่งจูงใจสำคัญเพียงอย่างเดียว
          - กลุ่มไม่เป็นทางการมีอิทธิพลต่อองค์การ

3. การเคลื่อนไหวเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human relation movement)
  • Abraham Maslow :  มาสโลว์


         ทฤษฏีลำดับขั้นความต้องการ
  •  Douglas McGregor : แมคเกรเกอร์


           ทฤษฏี X และทฤษฏี Y

     ทฤษฏี X และทฤษฏี Y
  • ป็นสมมติฐานเกี่ยวกับทัศนะเกี่ยวกับผู้บริหารที่มีต่อคนงาน
  • ทัศนะของผู้บริหารจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริหารงานของเขาด้วย
  • เขาเห็นว่า องค์การแบบเดิม (รวมศูนย์ สื่อสารบนลงล่าง) ไม่ช่วยให้เกิดผลผลิต แต่สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์ เรียกว่าทฤษฏี X
  • ทฤษฏี X มองว่าคนไม่ชอบทำงาน เลี่ยงความรับผิดชอบ
  • ไม่ทะเยอทะยาน ชอบให้สั่งการ ต้องใช้เงินจูงใจ ต้องควบคุมมาก
  • ทฤษฏี Y มองว่า คนจะให้ความร่วมมือถ้าพอใจในสภาวะการทำงาน
  • คนขยันไว้ใจได้ ควบคุมตนเองได้ มีความคิดริเริ่มในการทำงาน ถ้าได้รับการจูงใจที่ถูกต้องจากเพื่อนร่วมงาน
  • คนจะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

4. หลักพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral science approach)
  • เป็นการนำผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาทฤษฏีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ จากศาสตร์ สาขาต่างๆ เมื่อ
  • นำไปทดสอบแล้วจะเสนอให้นักบริหารนำไปใช้ เช่น ทฤษฏีการตั้งเป้าหมาย ของ Locke

ทัศนะเชิงปริมาณ (Quantitative viewpoint)
  • การบริหารศาสตร์
  • การบริหารปฏิบัติการ
  • ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร

1.การบริหารศาสตร์ (Management science)
  • มุ่งเพิ่มความมีประสิทธิผลในการตัดสินใจจากการใช้ตัวแบบคณิตศาสตร์และวิธีการเชิงสิติ ซึ่งแพร่หลายได้รวดเร็วเนื่องจากความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างซับซ้อนมากขึ้น

2. การบริหารปฏิบัติการ (Operation management)
  • ยึดหลักการบริหารกระบวนการผลิตและให้บริการ
  • กำหนดตารางการทำงาน
  • วางแผนการผลิต
  • การออกแบบอาคารสถานที่ การประกันคุณภาพ
  • การใช้เทคนิคเครื่องมือต่างๆ เช่น เทคนิคการทำนายอนาคต
  • การวิเคราะห์รายการ ตัวแบบเครือข่ายการทำงาน การวางแผน และควบคุมโครงการ

3. ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (management Information System)
     สารสนเทศบริหารศาสตร์ MIS เน้นการนำเอาระบบข้อมูลสารสนเทศโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในการบริหาร (Computer based information system : CBISs)

ทัศนะร่วมสมัย (Contemporary viewpoint)
  •  ทฤษฏีเชิงระบบ
  • ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์
  •  ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่

1. ทฤษฏีเชิงระบบ (System theory)
     ระบบแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ระบบเปิดและระบบปิด
  •  ระบบเปิดและระบบปิดไม่ได้แยกออกจากกัน  มีลักษณะอยู่ 9 ประการ


           - มีปัจจัยป้อนเข้าจากภายนอก
           - มีกระบวนการที่ก่อให้เกิดผลผลิต
           - ปัจจัยป้อนออกเป็นผลผลิตหรือบริการ
           - มีวงจรต่อเนื่อง
           - มีการต่อต้านแนวโน้มสู่ความเสื่อมของระบบ
           - ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการปรับตัว
           - มีแนวโน้มสู่ความสมดุล
           - มีแนวโน้มสู่คามซับซ้อน
           - มีหลายเส้นทางเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย
      รูปแบบการวิเคราะห์ระบบ
      มุ่งเน้นกระบวนการมากกว่าผลผลิต
  •  ประเมินประสิทธิภาพของระบบงาน
  • ประเมินเวลา
  • ประเมินการใช้งบประมาณ
  • ประเมินความถูกต้องของกระบวนการ
  • ประเมินผลผลิตหรือผลงาน

2. ทฤษฏีการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency theory)
    หลักการบริหารงานที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์หนึ่งๆ เท่านั้น ในสถานการณ์ที่ต่างไป ผู้บริหารอาจกำหนดหลักการจากการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานการณ์เพื่อกำหนดแนวทางให้เหมาะสมกับโครงสร้าง เป้าหมายและผู้ปฏิบัติงานในองค์การ

3 ทัศนะที่เกิดขึ้นใหม่
   ทฤษฏี Z  ทฤษฏีการบริหารแบบญี่ปุ่น โดย William Ouchi  โดยรวมหลักการบริหารแบบอเมริกันรวมกับแบบญี่ปุ่นมีหลักการสำคัญคือ ความมั่นคงในงาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ รับผิดชอบปัจเจกบุคคล เลื่อนตำแหน่งช้า ควบคุมไม่เป็นทางการ แต่วัดผลเป็นทางการ สนใจภาพรวมแลครอบครัว


ความรู้ที่ได้รับ / การนำไปประยุกต์ใช้
     ได้รับความรู้เรื่องความหมาย ความสำคัญของการบริหารสถานศึกษา หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษา สามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดสถานศึกษาในอนาคตได้


การประเมิน
     ประเมินตนเอง    เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน
     ประเมินเพื่อน      เพื่อนเข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน
     ประเมินอาจารย์   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย เตรียมเนื้อหาการสอนมาได้ดี



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น